รหัสไม่ลับอีกต่อไป! 5 กลยุทธ์ “ตั้ง-เก็บ-ใช้” รหัสผ่าน ป้องกันบัญชีโดนแฮก

การรั่วไหลของข้อมูลขนาดใหญ่ (Data Breach) เกิดขึ้นแทบทุกวัน และรหัสผ่านของคุณอาจถูกนำไปขายใน Dark Web โดยที่คุณไม่รู้ตัว ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ความซับซ้อนของรหัสผ่านอย่างเดียว แต่อยู่ที่การจัดการรหัสผ่านในภาพรวม นักรักษาความปลอดภัยจึงแนะนำให้เปลี่ยนจากการ “ตั้งรหัสให้ซับซ้อน” มาเป็น “ตั้งรหัสให้ยาวและเปิดการป้องกันหลายชั้น”

นี่คือ 5 กลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยปกป้องบัญชีออนไลน์ของคุณจากการถูกโจรกรรม:

กลยุทธ์ที่ 1: เปลี่ยนรหัสสั้น เป็น “วลีรหัส” (Passphrase)

ยุคนี้ความยาวสำคัญกว่าความซับซ้อน การผสมอักษรพิมพ์ใหญ่ พิมพ์เล็ก ตัวเลข และสัญลักษณ์ อาจทำให้จำยากและยังเสี่ยงถูกเจาะอยู่ดี หากสั้นเกินไป

  • เน้นความยาว (อย่างน้อย 12-16 ตัวอักษร): ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยแนะนำให้ใช้ความยาวขั้นต่ำ 12 ตัวอักษรขึ้นไป เพราะยิ่งยาวยิ่งต้องใช้เวลาในการถอดรหัส (Brute Force Attack) นานขึ้นเป็นพันเท่า
  • สร้าง Passphrase: ใช้วลีหรือประโยคที่จำได้ง่ายแต่ไม่มีความหมายเชื่อมโยงกัน เช่น กระเป๋าสีเหลือง1ตัวเลข! หรือ แมว3หางชอบกินข้าวโพด (ควรผสมตัวเลขและสัญลักษณ์เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง)
  • สิ่งที่ไม่ควรทำ: ห้ามใช้ข้อมูลส่วนตัวที่สามารถหาได้จากโซเชียลมีเดีย เช่น ชื่อ, วันเกิด, ชื่อสัตว์เลี้ยง หรือคำศัพท์ที่อยู่ในพจนานุกรม

กลยุทธ์ที่ 2: ใช้รหัสผ่าน “ไม่ซ้ำ” กันเลยสักบัญชี

นี่คือข้อผิดพลาดอันดับ 1 ที่ทำให้เกิดการรั่วไหลเป็นวงกว้าง (Credential Stuffing) หากบัญชีใดบัญชีหนึ่งของบริการที่คุณใช้อยู่ถูกแฮก พวกเขาจะนำรหัสผ่านนั้นไปลองล็อกอินในบริการสำคัญอื่น ๆ ของคุณทันที (เช่น อีเมล, ธนาคาร, โซเชียลมีเดีย)

  • กฎเหล็ก: รหัสผ่านสำหรับบัญชีอีเมลหลัก (Gmail, Outlook) ต้องไม่ซ้ำ กับรหัสผ่านโซเชียลมีเดีย (Facebook, X) หรือบัญชีธนาคารอย่างเด็ดขาด

กลยุทธ์ที่ 3: ใช้ Password Manager (เครื่องมือจัดการรหัสผ่าน)

เมื่อคุณต้องใช้รหัสผ่านที่ไม่ซ้ำกันยาว 16 ตัวอักษรสำหรับ 50 บัญชี การจำเองทั้งหมดเป็นไปไม่ได้ เครื่องมือจัดการรหัสผ่านจึงเป็นสิ่งจำเป็นสูงสุดในยุคนี้

  • หน้าที่หลัก:
    1. สร้างรหัสผ่าน: สร้างรหัสผ่านแบบสุ่มที่มีความซับซ้อนสูงสุดโดยอัตโนมัติ
    2. จัดเก็บอย่างปลอดภัย: เก็บและเข้ารหัส (Encrypt) รหัสผ่านทั้งหมดไว้ในตู้เซฟดิจิทัล
    3. กรอกอัตโนมัติ: กรอกรหัสผ่านให้คุณโดยอัตโนมัติเมื่อเข้าสู่เว็บไซต์นั้น ๆ โดยที่คุณไม่ต้องจำเอง
  • ตัวอย่างโปรแกรม: Bitwarden, LastPass, 1Password หรือ Google Password Manager ที่มาพร้อมกับ Chrome

กลยุทธ์ที่ 4: เปิดใช้งาน 2FA/MFA (การยืนยันตัวตนแบบหลายปัจจัย)

นี่คือปราการด่านสุดท้ายที่จะช่วยให้บัญชีของคุณปลอดภัย แม้ว่ารหัสผ่านจะรั่วไหลไปแล้วก็ตาม

  • Two-Factor Authentication (2FA) หรือ Multi-Factor Authentication (MFA): คือการกำหนดให้ผู้ใช้งานต้องยืนยันตัวตนด้วย “สิ่งที่รู้” (รหัสผ่าน) และ “สิ่งที่ตัวเองมี” (รหัส OTP ที่ส่งมาทางมือถือ, แอปพลิเคชัน, หรือคีย์ความปลอดภัย)
  • ควรเปิดใช้กับ: บัญชีที่มีความสำคัญสูงสุด เช่น อีเมลหลัก, บัญชีธนาคาร, Cloud Storage, และโซเชียลมีเดีย

กลยุทธ์ที่ 5: หมั่นตรวจเช็กและระวัง Phishing

การป้องกันรหัสผ่านไม่ได้หยุดอยู่แค่การตั้งค่า แต่คือการเฝ้าระวังภัยคุกคามที่เข้ามาหาคุณโดยตรง

  • ตรวจสอบการรั่วไหล: ใช้เครื่องมือฟรี เช่น Have I Been Pwned? เพื่อตรวจสอบว่าอีเมลของคุณเคยอยู่ในฐานข้อมูลที่ถูกแฮกไปแล้วหรือไม่ หากพบให้รีบเปลี่ยนรหัสผ่านทันที
  • ระวัง Phishing: อย่าคลิกลิงก์ที่มาพร้อมกับอีเมลหรือข้อความที่น่าสงสัย (เช่น การแจ้งเตือนว่า “บัญชีของคุณกำลังถูกระงับ” หรือ “คุณได้รับเงินรางวัล”) หากไม่แน่ใจ ให้พิมพ์ URL ของเว็บไซต์ที่คุณต้องการเข้าเองโดยตรง อย่าคลิกจากลิงก์ที่ส่งมา

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการจัดการรหัสผ่านเหล่านี้ อาจต้องใช้ความพยายามในช่วงแรก แต่การทำเช่นนี้คือการลงทุนด้านความปลอดภัยที่คุ้มค่าที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวและการเงินของคุณตกไปอยู่ในมือของอาชญากรไซเบอร์

Scroll to Top