ให้หุ่นยนต์ทำงานแทน: ปลดล็อกเวลา 24/7 ด้วยระบบอัตโนมัติ Zapier และ Make

คุณเคยรู้สึกไหมว่าในแต่ละวันต้องเสียเวลาไปกับงานเล็กๆ น้อยๆ ที่ต้องทำซ้ำๆ เช่น การคัดลอกข้อมูลจากฟอร์มไปใส่ Spreadsheet, การแจ้งเตือนทีมในแชทเมื่อมีอีเมลสำคัญเข้ามา หรืองานเอกสารอื่นๆ ที่กินเวลาชีวิตไปอย่างน่าเสียดาย?

ขอแนะนำให้รู้จักกับเครื่องมือที่จะมาเป็น “กาวใจ” เชื่อมต่อแอปพลิเคชันต่างๆ ของคุณเข้าด้วยกัน และสั่งให้มันทำงานแทนคุณโดยอัตโนมัติ นั่นคือ Zapier และ Make (ชื่อเดิม Integromat)

Zapier / Make คืออะไร?

Zapier และ Make คือแพลตฟอร์ม Automation ที่ทำงานบนหลักการง่ายๆ คือ “เมื่อมีเหตุการณ์ A เกิดขึ้น (Trigger) ให้ทำสิ่ง B โดยอัตโนมัติ (Action)” โดยที่เราแทบไม่ต้องเขียนโค้ดแม้แต่บรรทัดเดียว เปรียบเสมือนการสร้างหุ่นยนต์ดิจิทัลส่วนตัวขึ้นมาทำงานให้เรา

ตัวอย่างงานที่สามารถทำอัตโนมัติได้:

  • เมื่อมีคนกรอก Google Forms: ให้ส่งข้อมูลไปบันทึกที่ Google Sheets และส่งข้อความแจ้งเตือนไปที่ LINE Notify หรือ Slack ทันที
  • เมื่อมีอีเมลใหม่ใน Gmail ที่มีไฟล์แนบ: ให้บันทึกไฟล์แนบนั้นลงใน Google Drive หรือ Dropbox โดยอัตโนมัติ
  • เมื่อโพสต์วิดีโอใหม่ลง YouTube: ให้สร้างโพสต์แจ้งข่าวใน Facebook Page และ Twitter โดยอัตโนมัติ
  • เมื่อมีลูกค้าใหม่ในระบบ CRM: ให้ส่งอีเมลต้อนรับ (Welcome Email) หาลูกค้าคนนั้นทันที

เริ่มต้นใช้งานง่ายๆ ใน 3 ขั้นตอน:

  1. เลือก Trigger (ตัวกระตุ้น): “อะไรคือสัญญาณเริ่มต้น?” เช่น มีอีเมลใหม่, มีคนกรอกฟอร์ม, มีการชำระเงินเข้ามา
  2. เลือก Action (การกระทำ): “เมื่อมีสัญญาณแล้วจะให้ทำอะไรต่อ?” เช่น สร้างแถวใหม่ใน Spreadsheet, ส่งข้อความ, สร้าง Task ใน Trello
  3. เชื่อมต่อและตั้งค่า: ทำการเชื่อมต่อบัญชีของแอปพลิเคชันต่างๆ ที่คุณต้องการ (เช่น ล็อกอิน Google, Facebook) และกำหนดรายละเอียดเล็กน้อยว่าต้องการให้ข้อมูลส่วนไหนไปแสดงที่ไหน

Zapier กับ Make ต่างกันอย่างไร?

  • Zapier: เน้นความง่ายและรวดเร็ว มีหน้าตาที่เป็นมิตรกับผู้เริ่มต้น เหมาะสำหรับ Automation ที่ไม่ซับซ้อน (A -> B -> C)
  • Make: มีความยืดหยุ่นและทรงพลังกว่า แสดงผลการเชื่อมต่อเป็นภาพ (Visual Flow) ทำให้สร้าง Automation ที่มีเงื่อนไขซับซ้อนได้ดีกว่า และมักจะมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าในแพ็กเกจระดับสูง

บทสรุป: การลงทุนเรียนรู้การใช้ Zapier หรือ Make ในวันนี้ คือการซื้อเวลาในอนาคตกลับคืนมา มันจะช่วยลดความผิดพลาดจาก Human Error, เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และทำให้คุณมีเวลาไปโฟกัสกับงานที่สำคัญและสร้างสรรค์กว่าเดิม ลองเริ่มจาก Automation ง่ายๆ สักหนึ่งอย่าง แล้วคุณจะทึ่งกับเวลาที่ได้กลับคืนมา

Scroll to Top